Think Creative

Think Creative

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ชีวิตทำงานของคนรุ่นต่อไป

คุณพ่อ คุณแม่หลายท่านมักพูดว่า อยากให้ลูกเป็นอะไรก็ได้ที่เค้าอยากเป็น หรือไม่ก็ ทำงานอะไรก็ได้ที่เค้ารัก ครั้นเมื่อมีโอกาสได้อ่านบทความนี้ผ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ก็เป็นความบังเอิญที่ website ของ Global Art สำนักงานใหญ๋ ก็หยิบยกเนื้อหานี้มาลงไว้เช่นกัน จึงอยากแบ่งปันเผื่อผู้ปกครองท่านใดแวะเวียนมา จะได้ข้อคิดและแนวทางในการมองอนาคตกับสิ่งที่เด็กๆต้องเพิ่มเติมเพื่อคนคุณภาพในศตวรรษหน้า  ลองอ่านดูนะคะ มีประโยชน์และน่าสนใจมาก

 

สัปดาห์นี้ผมขอคุยเรื่องอนาคตสักหน่อย คือ เรื่องชีวิตทำงานของคนในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เผื่อว่าใครมีลูกมีหลานอยู่ตอนนี้จะได้วางแผนการศึกษาที่เหมาะสมไว้ให้พวกเขาล่วงหน้า

 

         ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า แนวโน้มที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น การลดลงของประชากรวัยทำงานทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะในสังคมเมืองทำให้ผู้คนนิยมมีลูกน้อยลงเรื่อยๆ ปรากฏการณ์นี้จะส่งผลให้แรงงานที่มีทักษะสูงเริ่มขาดแคลนก่อน ส่วนแรงงานที่ใช้ทักษะน้อยจะยังไม่ขาดแคลนไปอีกระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็จะขาดแคลนด้วยเช่นเดียวกันแนวโน้มนี้อาจส่งผลกระทบหลายอย่างต่อโลกของเราโดยรวม แต่สำหรับลูกหลานของเราแล้ว พวกเขาจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความสามารถสูงๆครับเพื่อแก้ไขปัญหานี้ส่วนหนึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วจะเกษียณกันอายุช้าลง ซึ่งทำได้เพราะเทคโนโลยีด้านสุขภาพสมัยใหม่ช่วยทำให้พวกเราแก่ช้าลงด้วยแต่

 

            นั่นก็ยังไม่เพียงพอ บริษัทในประเทศที่พัฒนาแล้วจะยินดีแสวงหาคนทำงานจากทั่วทุกมุมโลกมากขึ้นเรื่อยๆ งานไหนที่สามารถ Outsource ไปยังประเทศกำลังพัฒนาได้ จะถูก outsource มากขึ้นอีก งานไหนที่ outsource ไม่ได้ก็จะต้องจ้างคนจากทั่วโลกให้มาทำงานมากขึ้น โอกาสของงานที่ใช่ทักษะสูงๆ (งานดีๆ) จึงมักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น (cross-culture environment) การส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีเพื่อนต่างชาติมากๆ หรือส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็ก จะช่วยทำให้พวกเขาเคยชินกับสภาพแวดล้อมของที่ทำงานในยุคต่อไป และทำงานพวกเขาสามารถปรับตัว และทำงานได้ดีกว่าคนอื่นๆ

          

             เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน โดยเฉพาะ เทคโนโลยีการสื่อสาร จะทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานในอนาคต เป็นแบบหลวมๆ มากขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบการทำงานแบบเข้างาน 9 โมง เลิก 5 โมงแบบโรงงานจะมีน้อยลง แม้ว่าในอนาคต ออฟฟิศของบริษัทต่างๆจะยังคงต้องมีอยู่ต่อไป เพราะมนุษย์ยังต้องการทำงานในรูปแบบที่ได้มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับเพื่อนร่วมงานอยู่ แต่บริษัทจะแข่งขันกันสร้างความได้เปรียบเรื่องต้นทุน ด้วยการให้พนักงานของตัวเองนั่งทำงานที่ออฟฟิศให้น้อยลง (ลดค่าเช่าและค่าใช้จ่ายของการมีออฟฟิศใหญ่โต) แล้วหันมาแจกอุปกรณ์ไอที ซึ่งมีราคาถูกลงอย่างรวดเร็วให้พนักงานใช้ทำงานร่วมกันแบบทางไกลมากขึ้นแทน พนักงานในอนาคต จะได้รับอนุญาตให้ทำงานอยู่ที่บ้าน หรือทำงานตามร้านกาแฟมากขึ้น และบริษัทจะหันมาวัดผลพนักงานจากผลงานที่ออกมาแทนที่จะสนใจว่าพนักงานมาทำงานกี่ชั่วโมง ในขณะเดียวกัน พนักงานในอนาคตเองก็ชอบวิธีการแบบนี้ด้วย เพราะคนสมันใหม่มีแนวโน้มที่จะโหยหาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวมากขึ้นถ้าบริษัทไหนให้พวกเขามีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น พวกเขาย่อมอยากทำงานที่บริษัทนั้นมากกว่า บริษัทจึงหันมาแข่งขันกันดึงดูดคนเก่งๆ ด้วยเรื่องของไลฟ์สไตล์มากขึ้น แทนที่จะแข่งขันกันเรื่องผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินอย่างเดียว

 

            ด้วยเหตุนี้ คนทำงานยุคใหม่จึงมีความยึดติดกับองค์กรน้อยลง องค์กรเองก็จะคาดหวังให้พนักงานทำงานกับองค์กรนานๆ น้อยลงด้วย องค์กรสมันใหม่เองก็ต้องดิ้นรนภายใต้การแข่งขันของตลอดและต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขึ้น องค์กรเองจึงไม่อาจให้หลักประกันเรื่องความมั่นคงของรายได้ในระยะยาวให้กับพนักงานได้อีกต่อไป รูปแบบการจ้างงานแบบพนักงานชั่วคราว ฟรีแลนซ์ และการเอาท์ซอร์สซึ่งจะเริ่มกลายเป็นรูปแบบมาตรฐานมากขึ้นเรื่อยๆ คนในยุคใหม่อาจจะยังมีงานประจำอยู่ แต่ทุกคนจะมีงานที่สอง ที่สาม เพิ่มด้วย อันเป็นวิธีที่จะทำให้พวกเขามีรายได้มากกว่าคนทั่วโลก ด้วยเหตุนี้คนในยุคต่อไปจึงต้องมีความคิดแบบ Entrepreneurial มากขึ้น พวกเขาจะต้องกล้ารับความเสี่ยงมากขึ้น อยู่กับความไม่แน่นอนให้ได้มากขึ้น ยึดติดกบองค์กรให้น้อยลง จึงจะเป็นคนที่สามารถใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบอนาคตได้เป็นอย่างดี

 

           โลกของเราผ่านการเปลี่ยนแปลงในเรื่องรูปแบบของการทำมาหากินมาแล้วสองยุค สองสมัย ยุคแรก คือยุคที่เราเปลี่ยนจากการทำงานในไร่ไปเป็นการทำงานที่โรงงานจากผลการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นหลัก ยุคที่สอง คือ ยุคข้อมูลข่าวสารที่เราหันมาทำงานด้วยสมองมากกว่าการออกแรง ในยุคต่อไปที่กำลังจะมาถึง เรากำลังเปลี่ยนจากการทำงานที่ใช้สมองข้างซ้ายส่วนใหญ่ ไปสู่การทำงานที่ใช้สมองข้างขวาเป็นหลัก เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันกำลังจะทำให้งานหลายๆอย่างที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำแทนคนได้ถูกยกให้เป็นหน้าที่ของคอมพิวเตอร์มากขึ้น งานเหล่านนี้โดยมากแล้วมักเป็นงานที่ใช้สมองข้างซ้านเพราะเป็นทักษะที่คอมพิวเตอร์มักทำได้ดีกว่าคน

 

           พนักงานธนาคารทุกวันนี้จะนั่งทำรายการให้ลูกค้าน้อยลงเพราะลูกค้าจะทำรายการเองผ่านเครื่องหรืออินเทอร์เน็ตมากขึ้น พวกเราจะต้องผันตัวมาทำงานด้านการแนะนำหรือ ผลักดันการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ให้กับลูกค้ามากขึ้นแทน ที่จริงแล้วแม้แต่งานขายของและงานบริการหลายอย่างสมัยนี้ก้ยังถูกแทนด้วยเสียงสังเคราะห์ทางโทรศัพท์ได้หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ตำแหน่งงานในอนาคตที่จะมีมูลค่าเพิ่มสูงๆ จะกลายเป็นงานที่จะต้องใช้สมองซีกขวามากๆ เช่น งานที่เกี่ยวกับศิลปะ งานออกแบบ งานประพันธ์ หรืออาจะเป็นงานที่ต้องการความฉลาดทางอารมณ์ ( EQ) สูง เช่น การบริหารคน บริหารความขัดแย้ง เป็นต้น ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่คอมพิวเตอร์ยังทำแทนคนได้น้อยมา

 

            เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่อยากให้ลูกหลานของตัวเองมี Value สูงๆ ในอนาคต น่าจะพิจารณาส่งเสริมให้เลือกเรียนวิชาที่เน่นไปทางด้านสาย ศิลป์ศาสตร์ เพราะจะเป็นสายอาชีพที่มีอนาคตที่สดใสมากกว่าสายวิทยาศาสตร์ในอนาคตอีกด้วยครับ

มนุษย์ เศรษฐกิจ 2.0

นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

ที่มา หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น